หน้าเว็บ

วันพุธ, พฤษภาคม 15, 2556

ใครเคยทำบ้างเอ่ย?

ใครเคยทำบ้างเอ่ย?
พฤติกรรมที่คิดว่าดีต่อสุขภาพ แต่กลับทำร้ายเราแบบคาดไม่ถึง ลองไปเช็คกันดูดีกว่า



1.ออกกำลังกายมากเกิน ไม่ควรถึง 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์ ในเวลา 30-45 นาที ควรออกกำลังแบบเบาๆสลับกับหนัก จะดีกว่าค่ะ

2.อาบแดดรับวิตามินดี แต่หากจะอาบแดดเกิน 20 นาที ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปนะคะ

3.สบู่ ครีมอาบน้ำ กำจัดแบคทีเรีย
ใช้บ่อยๆแทนที่จะฆ่าแบคทีเรียชนิดแย่ๆ อาจฆ่าแบคทีเรียชนิดดีออกไปหมด จะให้ดีใช้สบู่ทั่วไปดีที่สุดค่

4.นอนไม่ควรมากหรือน้อยกว่า 8 ชม.
ทำให้เราอ้วนหรือกินมากเกิน เกิดอาการสับสน และซึมเศร้าได้อีกด้วย

5.เปิดแอร์เย็นตลอดทั้งวันทั้งคืน
ในเครื่องปรับอากาศมีแบคทีเรียและเชื้อโรค รวมถึงฝุ่นผงต่าง ๆ อยู่มากมาย การใช้แอร์ทุกเวลาจึงเป็นการทำลายสุขภาพ ลองหันมาเปิดหน้าต่าง หรือออกไปนั่งเล่นนอกบ้านเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างก็ดีน้า

6.อาหารออร์แกนิกส์
จำพวกผัก ผลไม้ที่มีราคาสูงและดูปลอดภัยดีพยาธิ มาทำลายสุขภาพอยู่ก็ได้ ดังนั้นอ่านฉลากข้างอาหารที่ซื้อทุกครั้งนะคะ

วุ้นเส้นสามารถลดความอ้วนได้จริงหรือไม่..???

แม้วุ้นเส้นจะทำมาจากแป้งถั่วเขียว ซึ่งถือเป็นพืชที่มีโปรตีนสูง แต่ในการผลิตวุ้นเส้นนั้นมิได้มีการนำโปรตีนของถั่วเขียวมาใช้ในกระบวนการผลิตวุ้นเส้นด้วย วุ้นเส้นจึงจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่นเดียวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดอื่นๆ ที่ทำมาจากแป้งข้าวเจ้า หรือแม้แต่เมื่อเทียบกับข้าวสวยก็แทบไม่ต่างกัน เนื้อจากวุ้นเส้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นแป้ง 86.8% ในขณะที่ข้าวประกอบด้วยแป้ง 89.6%



อย่างไรก็ตาม การรับประทานวุ้นเส้นเพื่อลดน้ำหนักนั้นก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลซะทีเดียว เนื่องจากปริมาณพลังงานที่ได้รับจากวุ้นเส้นยังคงน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานเส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดอื่นๆ หากเปรียบเทียบในปริมาณเท่ากัน 
เส้นใหญ่ 100 กรัม ให้พลังงาน 160 กิโลแคลอรี
เส้นเล็กให้พลังงาน 220 กิโลแคลอรี
บะหมี่ให้พลังงาน 298 กิโลแคลอรี
ในขณะที่วุ้นเส้น 100 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่เท่านั้น


ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าวุ้นเส้นเป็นโปรตีนกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน คงไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องเสียแล้ว การรับประทานอาหารไม่ว่าจะชนิดใดก็ตามหากรับประทานในปริมาณมากเกินไป ก็ทำให้อ้วนขึ้นได้เหมือนกัน

วันศุกร์, พฤษภาคม 10, 2556

อยากลดน้ำหนัก อย่างได้ผล..เริ่มต้นด้วยสูตรนี้ซิจ๊ะ!!!


อยากลดน้ำหนัก อย่างได้ผล! มาควบคุมแคลอรีกันเถอะ

หากคุณอยากลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน คุณควรกินอาหารวันละ 700-1000 แคลอรี จะเห็นผลว่าน้ำหนักจะลดลงได้ภายใน 1 สัปดาห์ หากคุณต้องการลดน้ำหนักแบบปานกลางก็ควรกินอาหารวันละไม่เกิน 1300 แคลอรี จะทำให้ลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม และหากต้องการที่จะลดลงเรื่อยๆ และควบคุมน้ำหนักตัวก็ควรกินวันละไม่เกิน 1500 แคลอรี ที่สำคัญต้องกินให้ครบ 3 มื้อ ใน 1 วัน ระหว่างมื้อถ้าหิวก็กินผลไม้ 2-3 ผล และน้ำผลไม้ ส่วนผักสดและผักนึ่ง หากกินได้ทุกมื้อ ทุกวัน ไม่จำกัดปริมาณ ซึ่งนอกจากจะไม่ทำให้อ้วนแล้วยังเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย

ส่วนเรื่องการออกกำลังกาย หากต้องการลดแบบเร่งรัดในเวลา 4 สัปดาห์ ควรออกกำลังกายในทางเลือก 2 ทาง ดังนี้คือ
- ออกกำลังกายวันละ 15-20 นาทีทุก ๆ วัน
- ออกกำลังกายครั้งละ 30-60 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ ก็สามารถช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้เช่นกัน

กิจกรรมที่ทำให้แคลอรีลด (ต่อ 30 นาที)

- นอนหลับลด 38 แคลอรี
- นอนเล่นลด 45 แคลอรี
- ดูทีวีลด 54 แคลอรี
- นั่งทำงานลด 55 แคลอรี
- ซักผ้าด้วยมือลด 120 แคลอรี
- รีดผ้าลด 75 แคลอรี
- เย็บผ้าลด 57 แคลอรี
- ทำสวนลด 125 แคลอรี
- เล่นปิงปองลด 180 แคลอรี
- โยนโบว์ลิงลด 135 แคลอรี
- เล่นแบดมินตันลด 175 แคลอรี
- เล่นเทนนิสลด 250 แคลอรี
- วิ่งบนทางราบ 8.8 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลด 330 แคลอรี
- ว่ายน้ำลด 150-200 แคลอรี
- ขี่จักรยานลด 120-150 แคลอรี
- เดินขี้นบันไดลด 300-350 แคลอรี
- เดินลงบันไดลด 90-180 แคลอรี
- เดินบนทางราบลด 180-250 แคลอรี

มา "ดื่มนมลดน้ำหนัก" กันเถอะ



โดยนักวิจัยได้ทำการติดตามคนอ้วนกว่า 300 คนที่มีอายุระหว่าง 40-65 ปี ซึ่งทำการควบคุมน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารไขมันต่ำ, คาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือการไดเอทแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ผลที่ได้จากการติดตามพบว่ากลุ่มที่มีการรับประทานแคลเซียมสูง ประมาณ 580 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเป็นนม 2 แก้ว สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 12 ปอนด์ใน 2 ปี ส่วนกลุ่มที่รับประทานต่ำเพียง 150 มิลลิกรัม หรือเทียบเป็นนมเพียงครึ่งแก้วต่อวัน ลดน้ำหนักได้แค่ 7 ปอนด์ นักวิจัยได้อธิบายความแตกต่างว่า นมนั้นจะไปช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ดี “นมช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม และเกิดความพึงพอใจ ทำให้ไม่นึกอยากกินอาหารที่มีน้ำตาล เครื่องดื่มซอฟต์ดริ๊งค์ น้ำผลไม้หวาน ๆ หรือเครื่องดื่มโซดาทั้งหลาย”นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยเพิ่มเติมว่าในน้ำนมมีวิตามิน D ที่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักได้ดีกว่า…โดยระดับวิตามิน D ที่มีการแนะนำไว้ต่อวันคือ 400 มิลลิกรัม หรือเทียบได้กับนมโลว์แฟต หรือนมพร่องมันเนย 4 แก้ว

วันเสาร์, พฤษภาคม 04, 2556

เทคนิค "พิชิตปัญหาผิวหน้ามัน"


1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี 
การล้างหน้าให้ถูกวิธีที่ว่านี้ หมายรวมไปหมดเลยค่ะ ตั้งแต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยควบคุมความมัน ซึ่งแนะนำให้เลือกใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิค เอสิด ที่ช่วยในเรื่องของความมันซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว รวมไปถึงอย่าล้างหน้าบ่อยในแต่ละวันด้วยนะคะ 2 - 3 ครั้งต่อวันพอค่ะ

2. อย่าทาครีมกันแดดหนาเกินไป 
สาวๆ หลายคนมักจะมีความเชื่อผิด ๆ ว่า ยิ่งทาครีมหนาเท่าไหร่ ยิ่งกันแดดได้มากเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ผิวหน้าคุณมันแผล็บหลังแต่งหน้าได้ไม่นาน ทาพอประมาณก็พอแล้วค่ะ ยิ่งถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องลงมอยซ์เจอไรเซอร์เลยเป็นดี ให้บนหน้าคุณมีแค่ครีมกันแดดอย่างเดียว แล้วลงแป้ง จะทำให้หน้าคุณมันน้อยกว่าลงครีมหลายชั้นนะคะ

3. ลืมรองพื้นไปได้เลย 
เพราะนอกจากมันจะทำให้หน้าคุณดูหนัก ๆ แล้ว มันยังไปอุดตันรูขุมขน ซึ่งทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นอีกด้วย หันมาใช้มอยซ์เจอไรเซอร์เนื้อซิลิโคนจะดีกว่าค่ะ แล้วลงแป้งฝุ่นตามแค่นั้นก็พอ
4. ใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น
โดยหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และไม่ควรทานของเผ็ดเกินสัปดาห์ละครั้ง ส่วนอาหารที่แนะนำ คือพืชผักอย่าง แครอท แคนตาลูป และผลไม้ที่มีวิตามินสูง จะมีส่วนช่วยในการลดความมันของผิวได้ค่ะ

5. ขัดผิวและพอกหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
โดยเลือกวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ ที่บ้านของคุณเอง ขัดหน้าด้วยสครับสูตรอ่อนโยนต่อผิว และตามด้วยการพอกหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิค เอสิด จะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้เยอะเลยค่ะ
 6. อย่าลืมบำรุงผิวตอนกลางคืนด้วยล่ะ 
ด้วยไนท์ครีมที่คุณใช้อยู่ แล้วเพิ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันเข้าไปอีก เพื่อใบหน้าที่มันน้อยลงแล้วยังไร้สิวอีกด้วย
 7. หน้ามัน อย่าตบแป้ง
สาวๆ หลายคนหยุดความมันบนใบหน้าด้วยการตบแป้งเข้าไป นั่นแหละอันตรายเลยล่ะ เพราะมันจะไปอุดตันรูขุมขนบนใบหน้า แล้วสิวก็จะถามหาล่ะคราวนี้ เพราะฉะนั้น หันมาใช้กระดาษซับมันซับเบาๆ ก็พอค่ะ แต่อย่าบ่อยนะคะ เพราะมันยิ่งจะไปกระตุ้นให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิมอีก

วันศุกร์, พฤษภาคม 03, 2556

ไข้หวัดหายง่ายๆ ด้วยสับปะรด


ไข้หวัดหายง่ายๆ ด้วยสับปะรด

เพราะสับปะรดมีความสามารถในการช่วยย่อย โดยเฉพาะในสารอาหารโปรตีน เราจึงเห็นคนส่วนใหญ่ใช้สับปะรดในการหมักเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้นุ่มขึ้น รวมถึงสับปะรดอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสุขภาพและภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น ดังนั้น ผู้ที่กินสับปะรดบ่อยๆ จะมีห้สุขภาพดี ไม่ค่อยเป็นหวัด และในสับปะรดยังมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยป้องกันการเป็นตะคริว และลดความดันได้ นอกจากนี้สับปะรดยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดี ส่วนปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคก็คือ 100 กรัมต่อวัน ควรกินสับปะรดสดๆ โดยไม่ผ่านการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อน เพื่อป้องกันการสูญเสียวิตามินต่างๆ ไป

17 วิธีกระชับหุ่นสวย


1. เริ่มต้นด้วยอาหารมื้อเช้า

การวิจัยของ the University of Minnesota พบว่า คนที่กินอาหารมื้อเช้าจะมีปริมาณมวลรวมในร่างกายต่ำกว่าคนที่ข้ามมื้อแรกของ วันไป
2. กินซีเรียลตอนเช้า…ไม่อ้วน
พบว่าคนที่กินซีเรียลเป็นอาหารเช้าทุกวัน น้อยคนมากที่พบว่าเป็นโรคอ้วน หรือเป็นโรคเบาหวาน เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้กินซีเรียลตอนเช้า
3. กินถั่วสิ…ดีชัวร์

การวิจัยของ the City of Hope National Medical Center บอกว่าคนที่มีน้ำหนักมากที่กินแอลมอนด์เป็นประจำ จะน้ำหนักลดลงมากกว่ากลุ่มที่ควบคุมน้ำหนักโดยวิธีอื่น
4. อย่านอนน้อย
ผลวิจัยของ Frances INSERM organization รายงานว่าสาเหตุของการนอนน้อยประมาณ 23-24% มีเพิ่มขึ้นเพราะความหิว ซึ่งน้ำหนักตัวก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

5. กินอย่างช้าๆ
เมื่อน้ำหนักลดลงช้าๆ และสม่ำเสมอ ถือว่าคุณมาถูกทางค่ะ ซึ่งนักวิจัยจาก the Unversity of Rhoden Island พบว่ากินเร็วๆ จะสูญเสียพลังงานไป 646 แคลอรี่ แต่ถ้ากินอาหารชนิดเดียวกันแต่กินอย่างช้าๆ จะสูญเสียพลังงานเพียง 579 แคลอรี่เท่านั้น

6. ห่อข้าวมากินเอง
ควรนำอาหารกลางวันและของว่างที่ดีต่อสุขภาพมากินเอง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ที่โรงเรียน การไปช้อปปิ้งหรือสถานที่อื่นๆ เพื่อที่คุณจะได้ยืดระยะเวลาในการกินได้ค่ะ
7. ห่อข้าวกลับบ้าน
ร้านอาหารมักเสิร์ฟอาหารที่มีปริมาณมาก ๆ ควรขอกล่องใส่กลับไปทานที่บ้านด้วย เมื่อถึงบ้านก็นำไปแช่ตู้เย็นและนำออกมากินเป็นอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นในมื้อต่อไป
8. หาเพื่อนลดความอ้วน

การมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ย่อมดีกว่า ฉายเดียวแน่นอนค่ะ เพราะเพื่อนจะช่วยให้คุณน้ำหนักลดลงได้เร็วขึ้น และได้ผลชะงัดเชียวค่ะ
9. ตามใจตัวเองบ้าง
การลดความอ้วนที่ได้ผลดีกว่า ก็คืออนุญาตไว้ตัวเองซื้อของที่อยากกินบ้างเป็นครั้งคราว เช่น เค้กสตรอว์เบอร์รี่สักชิ้น แต่ก็ควรจะอยู่ในความพอดีนะคะ
10. ปิดทีวีกันเถอะ

มีนักวิจัยพบว่าคนที่ดูทีวีมากเกินไป รวมถึงการให้กินอาหารหน้าทีวี จะทำให้กินได้รับปริมาณเยอะกว่าคนที่ไม่ดูทีวี
11. ทำกิจกรรมที่ตื่นเต้น
ควรหากิจกรรมที่น่าตื่นเต้นในฟิตเนส เช่น กิจกรรมแนวผจญภัยอย่าง kick-boxing rock-climbing หรือหาอะไรทำในห้องครัว เช่น ทำกับข้าวที่ต้องออกแรงค่ะ

12. กลิ่นหอมๆ ก็ช่วยได้
นายแพทย์ Alan R. Hirsch ผู้อำนวยการด้านประสาทวิทยาของ Chicagos Smell & Teste Treatment and Research Foundation ได้ศึกษาวิจัยใจในอาสาสมัคร 3,000 คน พบว่าคนจำนวนมากที่ได้สูดกลิ่นหอม ๆ จะมีความหิวที่น้อยลงและน้ำหนักจะลดลงด้วย ซึ่งกลิ่นหอมที่ได้ทำการวิจัยก็คือ กลิ่นจากกล้วยหอม แอปเปิ้ล และกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์

13. อาหารสีฟ้า ลดความอยากกิน

เช่น บลูเบอรี่และมันฝรั่งสีม่วงบางชนิด รวมทั้งร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยสีฟ้าอีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สีฟ้าทำให้สมองลดความอยากอาหารลงและทำให้หิวน้อยลง
14. ใช้เครื่องวัดจำนวนก้าวเดิน
วิธีนี้เป็นการลงทุนเพื่อลดน้ำหนักที่ดีที่สุดทางหนึ่งค่ะ จากการวิจัยของ Annals of Family Medicine พบว่าเพียงการใส่เครื่องวัดจำนวนก้าวเดิน จะทำให้คนน้ำหนักลดได้พอประมาณ ถึงแม้คุณจะไม่ได้อยู่ในช่วงลดน้ำหนักก็ตาม
15. ทำบันทึก

สูตร ลดน้ำหนัก ที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่งคือการจดบันทึก (food diary) ซึ่งเราสามารถบันทึกอาหารที่กิน ตารางออกกำลังกายร่วมถึงบันทึกน้ำหนักแต่ละช่วง ที่เรากำลังลดได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้เรามีระบบที่ชัดเจนมากขึ้น

16. ไม่ควรชั่งน้ำหนักบ่อย
เราควรชั่วน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ก็พอค่ะ ซึ่งการชั่งน้ำหนักหลาย ๆ ครั้งในหนึ่งวันไม่ทำให้เห็นผลที่ชัดเจน และอาจผิดพลาดได้ เพราะน้ำหนักตัวของคุณจะขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง

17. อย่าลืมให้รางวัลตัวเอง
ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้และควรปฏิบัติให้ได้ตามนั้น เช่น ถ้าคุณกำหนดว่าภายในหนึ่งเดือนจะลดน้ำหนักให้ได้เท่านั้นเท่านั้น แล้วจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่หรือเสื้อตัวใหม่ ให้เป็นของขวัญสำหรับตัวเอง และเมื่อคุณรู้สึกดีที่ลดน้ำหนักได้ตามที่ตั้งใจไว้ ก็จะมีกำลังใจที่จะทำมันต่อไปค่ะ