หน้าเว็บ

วันอาทิตย์, เมษายน 28, 2556

เคล็ด (ไม่) ลับกับวิธีรับมือ "ปัญหาผมแตกปลาย"

ไม่ว่าจะแดดร่ม ลมตก ฝนตก ฟ้าร้อง เส้นผมของเราก็มักจะเผชิญกับสภาวะแบบนี้จนทำให้เส้นผมเกิดปัญหาต่างๆ มากมาย แล้วปัญหาผมแตกปลายก็เป็นอีกนึ่งปัญหาที่สาวๆ หลายๆ คนพบเจอ ซึ่งอย่างที่เรารู้ว่าวิธีแก้นั้นมีแน่นอนและก็มีหลายหลายวิธีซะด้วย แต่ถ้าถามว่าเราจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร วันนี้เราจึงนำ เคล็ด (ไม่) ลับกับวิธีรับมือ "ปัญหาผมแตกปลาย" มาฝาก..
กำจัดผมแตกปลาย
แม้จะดูทำร้ายจิตใจคนรักผม แต่ก็ต้องขอบอกเลยว่าไม่มีวิธีการไหนที่สามารถกำจัดผมแตกปลายได้ดีเท่ากับการตัด การเข้าร้านตัดผมอย่างสม่ำเสมอทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อแต่งเล็มผมให้เป็นทรงอยู่เสมอ จะเป็นการตัดเล็มเอาส่วนปลายผมที่แห้งเสียออกไปด้วย แต่หากคุณต้องการเล็มหรือตัดผมที่แตกปลายออกด้วยตัวเองในเบื้องต้น ให้ตัดผมเหนือส่วนที่แตกปลายขึ้นมาราว 1/4 นิ้ว เพื่อไม่ให้อาการแตกปลายกลับมาปรากฏขึ้นอีก

ส่วนการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อแก้ปัญหาผมแห้งแตกปลายนั้น ความจริงแล้วทำได้เพียงทำให้เคลือบผมส่วนที่แตกปลายเอาไว้ไม่ให้เสียความชุ่มชื้นไปมากกว่าเดิม และทำให้ดูสุขภาพดีขึ้นเท่านั้น แต่ผมที่ยังแตกปลายก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ก็สามารถช่วยป้องกันอาการผมแตกปลายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้


ป้องกันและดูแลปัญหาผมแตกปลาย
กิจกรรมที่คุณปฏิบัติต่อเส้นผมในชีวิตประจำวันก็มีส่วนในการทำร้ายเส้นผมให้แห้งแตกปลายได้เช่นกัน และจะยิ่งถูกทำร้ายหนักหากคุณไม่เอาใจใส่เพราะกิจกรรมทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น การสระผม เซ็ตผม ดัด ทำสี แม้แต่น้ำที่สัมผัสกับเส้นผมก็ทำร้ายมันได้เช่นเดียวกัน เพื่อที่จะป้องกันและดูแลเส้นผมของคุณให้ห่างไกลจากปัญหาผมแห้งแตกปลายอย่างมีประสิทธิภาพ ลองเอาใจใส่ผมให้มากขึ้นตามคำแนะนำด้านล่างนี้ดูค่ะ

1. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับเส้นผมให้มากที่สุด หากคุณพอใจผมที่ตัวเองมีอยู่แล้วจงอย่าไปทำสี หรือดัดผม หรือเลือกทำสีโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคามอ่อนโยนกับเส้นผมมากที่สุด

2. ไม่ให้เส้นผมสัมผัสกับน้ำในสระว่ายน้ำหรือน้ำทะเลโดยตรง คุณสามารถปกป้องเส้นผมในขั้นแรกก่อนได้โดยการใช้ออยล์ หรือผลิตภัณฑ์ประเภทลีฟอินคอนดิชั่นเนอร์กับเส้นผม จากนั้นไม่ลืมที่จะใช้หมวกว่ายน้ำคลุมผมด้วยทุกครั้ง

3. หากพบว่าน้ำประปาที่บ้านของคุณมีส่วนประกอบของคลอรีนหรือแคลเซียมมากเกินไป การลงทุนติดตั้งเครื่องกรองน้ำจะช่วยแก้ปัญหาได้ ดีกว่าปล่อยให้เส้นผมถูกทำร้ายในระยะยาว

4. เลือกใช้แชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ที่เหมาะกับสภาพผมของคุณ ไม่มีผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่คิดค้นขึ้นมาแล้วจะใช้ได้ผลดีกับทุกๆ คน คุณจึงจำเป็นต้องเลือกใช้สิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด

5. เมื่อสระผมให้ใส่แชมพูลงบนฝ่ามือแล้วขยี้ที่หนังศีรษะ หาใช่ขยี้ลงบนเส้นผมเพราะสารในแชมพูจะช่วยขจัดความมันที่หนังศีรษะ หากใช้กับเส้นผมอาจดึงความชุ่มชื้นไปจากผมทำให้ผมแห้งได้ ในทางกลับกันการใช้ครีมคอนดิชั่นเนอร์ให้ใช้ที่บริเวณเส้นผม หลีกเลี่ยงการใช้กับบริเวณหนังศีรษะเพราะจะไปเพิ่มความมัน ทำให้ผมดูลีบแบนนั่นเอง

6. หมักผมอย่างน้อยที่สุดเดือนละ 2 ครั้ง การหมักผมจะช่วยเติมสารอาหารอย่างเข้มข้นให้กับเส้นผม เพื่อฟื้นฟูบำรุงผมส่วนที่ขาดการดูแลหรือถูกทำร้ายจากสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

7. เปลี่ยนพฤติกรรมการเช็ดผม จากการใช้ผ้าขนหนูขยี้บนเส้นผม เป็นค่อยๆ ใช้ผ้าขนหนูบิดและซับเบาๆ แทน และหากไม่รีบร้อนนักการปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง

8. ไม่หวีหรือแปรงผมมากเกินไป เพราะการกระทำเหล่านี้เป็นการทำร้ายผมที่แตกปลายมากที่สุด ทำให้ปลายผมเสียความชุ่มชื้นและยิ่งแตกปลายมากขึ้น

9. ไม่ยีผมหรือหวีผมในแนวย้อนศร การหวีผมในแนวย้อนขึ้นจะไปเปิดเกล็ดผมและเมื่อมีการหวีย้อนซ้ำๆ อีก ก็จะไปดึงเกล็ดผมเปล่านี้ให้หลุดฉีกออกจากเส้นผมทำให้ผมเสียนั่นเอง

10. หวีผมอย่างเบามือ โดยเริ่มจากการหวีที่ปลายผมลงไปแล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นมาจนถึงหนังศีรษะ หากหวีแล้วพบว่าผมพันกันอย่ากระชากหวีหรือพยายามสางลงไปให้สุดปลาย วางหวีลงแล้วค่อยๆ ใช้มือแกะผมที่พันกันออก สางด้วยนิ้วแล้วจึงใช้หวีหวีซ้ำอีกครั้ง

วันศุกร์, เมษายน 26, 2556

สูตรกระชับรูขุมขนด้วยแตงกวา

ความเป็นจริงแล้ว มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้รูขุมขนกว้าง และไม่มีวิธีใดที่จะลดขนาดของรูขุมขนลงได้อย่างถาวรหรอกค่ะ สิ่งที่ทำได้ก็คือการทำให้ขนาดของรูขุมขนดูเล็กลง ซึ่งสูตรที่ช่วยกระชับรูขุมขนนั้นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง วันนี้เลยขอนำสูตรง่ายๆ ในการกระชับรูขุมขนมาฝากกันค่ะ


สูตรกระชับรูขุมขนด้วยแตงกวา สำหรับสูตรนี้ควรทำอาทิตย์ละ 3 – 4 ครั้ง จะช่วยทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น และทำให้รูขุมขนเล็กลง ถ้าทำเป็นประจำสูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวสวยสุขภาพดี

ส่วนผสม จะประกอบไปด้วย...
- แตงกวา 1 ผล
- นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำแข็งบด ½ ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ...
- นำแตงกวามาล้างให้สะอาด และปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- นำแตงกวา และนมสด น้ำแข็งลงเครื่องปั่นพร้อมกัน
- ปั่นให้ส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อครีมเข้มข้น
- ล้างหน้าให้สะอาด และซับหน้าให้แห้ง
- นำครีมแตงกวาที่ปั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำมาพอกบนใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
- หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

วันพุธ, เมษายน 24, 2556

6 วิธีจัดการกำจัดรอยคล้ำใต้วงแขน


1. สารพัดสารเคมีต่างๆ 
ที่คุณนำมาใช้ขจัดรอยคล้ำนี่แหละเป็นที่มาของรอยคล้ำใต้วงแขน ดังนั้นคุณน่าจะเปลี่ยนมาใช้วัสดุจากธรรมชาติกันบ้างดีกว่า โดยใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำผึ้ง แล้วทาลงบนผิว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก แล้วคุณจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่เห็น ที่สำคัญวิธีนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย
2. คุณสามาถขัดใต้วงแขนให้ขาวด้วยผงสารพัดประโยชน์อย่างเบกกิ้งโซดา

โดยหลังจากที่คุณอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้ว ก็ใช้ผงเบกกิ้งโซดาขัดที่ใต้วงแขนอย่างเบามือ จากนั้นทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยสบู่อีกหนึ่งรอบ และเช็ดให้แห้งสนิท หลังจากการทำความสะอาด เพียงแค่นี้ใต้วงแขนก็กลับมาขาวใสได้ดั่งใจเลยทีเดียว
3. หากคุณเป็นคนที่ชอบทำอาหารอยู่แล้ว ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เลย

เพราะคุณสามารถนำอาหารในครัวมาทำเป็นสครับขัดใต้วงแขนได้อีกด้วย เพียงแค่นำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำแตงกวา แล้วนำไปปั่นรวมกับขมิ้น จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดทาที่ใต้วงแขนขอคุณ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที เพื่อปล่อยให้สารอาหารซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง แล้วคุณก็จะได้ผิวใต้วงแขนขาวเนียนมาแทนรอยหมองคล้ำแล้วล่ะ
4. เพื่อให้ใต้วงแขนของคุณมีผิวขาวเนียนกระจ่างใส ยกแขนได้อย่างมั่นใจทุกท่วงท่า ก็สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ
โดยการนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำแอปเปิล (หากไม่มีก็สามารถใช้น้ำองุ่นขาวแทนได้) จากนั้นให้ใช้สำลีหรือผ้าชุบน้ำที่ผสมแล้ว นำมาเช็ดบริเวณใต้วงแขนของคุณ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด แค่นี้ใต้วงแขนก็กลับมาขาวใสได้ดั่งใจเลย

5. หากในครัวของคุณมีน้ำแอปเปิล ไซเดอร์ วีนีก้า (Apple cider vinegar) 
อยู่แล้ว ไม่จำต้องไปหาซื้อส่วนผสมเพิ่มเติม หรือใช้สารเคมีอะไรมาช่วยทั้งนั้น เพราะแค่ขวดนี้ขวดเดียวก็เอาอยู่ เพียงแค่นำน้ำแอปเปิ้ล ไซเดอร์ วีนีก้าทาลงไปใต้วงแขนของคุณทุกๆ วัน แต่ละครั้งให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ด้วยวิธีนี้ใต้วงแขนก็จะขาวใสขึ้นแบบทันตาเห็นเลยล่ะ
6. ถ้าคุณพอจะมีแตงกวา หรือมันฝรั่งติดครัวอยู่บ้าง ก็สามารถนำทั้งสองอย่างมาใช้ได้เช่นกัน

โดยนำแตงกวา หรือมันฝรั่ง มาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางที่ใต้วงแขนของคุณสักประมาณ 20 นาที แต่หากคุณไม่ชอบรอ ก็อาจจะนำมาขัดผิวใต้วงแขนแทน เพราะสามารถช่วยให้ใต้วงแขนของคุณขาวเนียนได้เช่นกัน

วันอังคาร, เมษายน 23, 2556

ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล


1.ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด  แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือถ้ามากเกินไปก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไปและก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่

2.เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้ายและทางด้านขวาออกขวาแล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบางควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไปอาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้ 

3.การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุดแล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบ ๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัดแต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

ครีมทาผิว

4.การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้า โดยเริ่มทาจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้นไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลกทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้

5.การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ และวนให้ทั่วแผ่นอกเพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิวแล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง

6.การทาครีมบริเวณแขน จะเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อนแล้วทาวนขึ้นหลังแขนโดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว

7.การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะเริ่มต้นที่ต้นขาก่อนแล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้าเพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

7 พฤติกรรมเสี่ยง "น้ำหนักเพิ่ม"


พฤติกรรมเสี่ยง "น้ำหนักเพิ่ม"



1. ดื่มกาแฟ

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ทุกๆ เช้า ต้องสั่งกาแฟจากร้านกาแฟระหว่างเดินทางมาทำงานมาดื่ม แถมกาแฟนั้นยังตกแต่งด้วยวิปครีมที่ดูอลังการน่าดื่มสุดๆ แต่วิปครีมนั่นแหละคือแคลอรีที่คุณจะได้รับมากเกินขนาด ทำให้กาแฟหนึ่งแก้วของคุณทุกเช้ามีปริมาณแคลอรีมากถึง 370 แคลอรีเข้าไปแล้ว แถมยังมีไขมันจากนมอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว หากไม่ปรารถนาแคลอรีจากกาแฟแก้วสวย เลือกทานกาแฟแบบธรรมดาที่ไม่เติมครีม หรือน้ำตาลลงไปดีกว่า เพราะครีม 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานถึง 24 แคลอรี และไขมันอีก 3 กรัม ส่วนน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ก็ให้พลังงานถึง 16 แคลอรี แต่ถ้าคุณเลือกทานกาแฟธรรมดาๆ แทน ภายใน 1 ปี จะลดพลังงานส่วนเกินลงได้ถึง 17,160 แคลอรี ซึ่งเท่ากับลดน้ำหนักได้ถึง 5 ปอนด์เลยนะนั่น

2. เดินไปหม่ำไป หรือ หม่ำขณะขับรถ

บางทีเพราะความรีบเร่งก็ทำให้หลายคนมีพฤติกรรมเดินไปด้วยกินไปด้วย เพื่อประหยัดเวลา แต่การกินระหว่างทางนี่แหละทำให้คุณกินเร็วเกินไป และนานๆ เข้าคุณก็จะติดนิสัยกินเร็วไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ อาหารมื้อหนึ่งเราควรใช้เวลาทานอย่างน้อย 20 นาที ทางแก้ก็คือ นั่งลงค่อยๆ ทานจะดีกว่า (ไม่รวมการรับประทานอาหารขณะขับรถนะ เพราะนั่นก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากการเดินไปกินไปอยู่ดี)เพราะหากคุณรีบเคี้ยวรีบกินมากเกินไป เมื่อถึงอาหารคำสุดท้าย คุณจะไม่รู้สึกอิ่มเลย และอยากหาอะไรใส่ปากอีก แล้วทีนี้คุณก็จะเผลอทานอาหารมากเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าคุณใจจดใจจ่อกับการรับประทานอาหารตรงหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป คุณจะรู้ว่าทานอะไรไปบ้าง แล้วก็จะรู้สึกอิ่มได้โดยไม่ทานอาหารมากเกินไป 

3. สวาปามอย่างลืมตัวในช่วงสุดสัปดาห์

ความพยายามไดเอทที่ทำมาตลอดวันจันทร์-ศุกร์ อาจพังครืน หากวันหยุดสุดสัปดาห์คุณเผลอไปปาร์ตี้จนลืมตัว แถมคนส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ด้วย โดยนักวิจัยเปิดเผยว่า คนมักจะไม่ค่อยคำนึงถึงปริมาณอาหารการกินในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะวันเสาร์ ทำให้คนเรามีแนวโน้มที่จะบริโภคไขมันเข้าไปมากกว่าวันปกติและทำให้แคลอรีพุ่งปรี๊ด เพื่อไม่ให้วันเสาร์และวันอาทิตย์กลายเป็นวันน้ำหนักพุ่ง ขอให้คุณใส่ใจกับปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปด้วย รวมทั้งชั่งน้ำหนักตัวเองทุกวัน และระมัดระวังเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะให้แคลอรีกับคุณได้เหมือนกัน

4. ขนาดของจานก็สำคัญ

สังเกตไหมว่าสมัยนี้ร้านอาหารมักจะจัดจานขนาดใหญ่ให้ลูกค้า กับข้อเสนอเพิ่มไซส์บิ๊กได้ในราคาที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย ซึ่งก็ทำให้คุณอยากจะเลือกทานขนาดจานไซส์บิ๊กนั่นแหละ เพื่อความคุ้ม จนลืมตัวไปว่า ยิ่งทานมาก น้ำหนักก็ยิ่งมากนะจ๊ะ เพื่อไม่ให้น้ำหนักขึ้นไปมากกว่านี้ เลือกทานอาหารในจานเล็กๆ จะดีกว่า เพราะจะทำให้เรารู้จักควบคุมพฤติกรรมการทานอาหารของตัวเอง รวมทั้งเวลาไปสั่งอาหารก็อย่าเผลอไผลไปเลือกไซส์บิ๊กล่ะ แม้ราคาจะคุ้มกว่า แต่ก็แลกกับน้ำหนักที่พุ่งขึ้นแบบไม่คุ้มเลยนะ

5. ไดเอทแบบฉับพลัน

การตั้งหน้าตั้งตาไดเอทแบบอดอาหารฉับพลัน อาจทำให้เกิดปฏิกิริยา "โยโย่" ตามมาได้ เพราะเมื่อคุณลดปริมาณอาหารอย่างกะทันหัน จะทำให้ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายทำงานช้าลง เนื่องจากร่างกายมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด จึงพยายามสำรองพลังงานไว้ในร่างกายให้มากที่สุด นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมคนที่อดอาหารอย่างฉับพลันมักจะอยากทานขนมหวาน จำพวกช็อกโกแลต ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง และในที่สุดแล้ว คุณก็อาจอดใจไม่ไหวรับประทานเข้าไปทีนี้น้ำหนักที่ลดลงไปก็จะกลับมาพุ่งพรวดอีกแน่นอน ดังนั้นแล้ว หากปรารถนาจะลดน้ำหนักจริงๆ ก็ไม่ควรถึงกับอด แค่ลดปริมาณลดนิดหน่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า

6. พลาดอาหารมื้อสำคัญ

เคยได้ยินแต่ยิ่งกินยิ่งอ้วน แต่นี่ยิ่งไม่กินก็ยิ่งอ้วนได้นะ เพราะการไม่รับประทานอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งอาจส่งผลลบต่อระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณ ทำให้มันเผาผลาญได้ช้าลง เพราะเห็นว่าไม่มีอาหารเข้าสู่ระบบแล้วไง วิธีแก้ก็ง่าย ๆ แค่ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ เช้า กลางวัน เย็น อย่าอดมื้อใดมื้อหนึ่งเด็ดขาด เพื่อรักษาระบบเผาผลาญพลังงานให้มีประสิทธิภาพ

7. เบื่อการออกกำลังกาย

ใครๆ ก็รู้ว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพแค่ไหน รวมทั้งช่วยเรื่องลดน้ำหนักด้วย แต่คนก็ไม่ค่อยทำกัน บางทีออกกำลังกายได้สามวันก็เบื่อซะแล้ว งานนี้ เทรนเนอร์จากฮอลลีวู้ดจึงแนะนำว่า ใครที่เบื่อการออกกำลังกายให้วางแผนซะใหม่ เลือกออกกำลังกายในแบบต่าง ๆ กันในแต่ละวัน หรือแต่ละวันให้เลือกว่าจะออกกำลังเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพิเศษก็ได้ เพื่อจะได้ไม่เบื่อ และยังทำให้ร่างกายแข็งแรงทุกส่วนด้วยล่ะ

วันจันทร์, เมษายน 22, 2556

สูตรพอกตัว แบบธรรมชาติ เพื่อผิวเนียนใส

หากว่าคุณผู้หญิงที่เบื่อกับการขัดผิวลองมาใช้สูตรพอกตัวแบบธรรมชาติเพื่อผิวเนียนใสของดูไหมค่ะ เพราะ สูตรพอกตัว ของเรานั้นจะทำให้คุณมีผิวที่เนียนนุ่นไร้จุดด่างดำที่เกิดจากสิว และที่สำคัญยังทำให้ผิวของคุณสดใสขึ้นจนคุณรู้สึกได้ค่ะ วันนี้มีมาให้เลือก 2 สูตรพอกตัว ค่ะ เป็น สูตรพอกตัวแบบธรรมชาติ ที่คุณหรือใครก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านค่ะ

สูตรพอกตัว แบบธรรมชาติ เพื่อผิวเนียนใส

1. สูตรพอกตัว แบบธรรมชาติ


สูตรพอกตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวค่อนข้างแห้งเพราะน้ำมันมะกอกจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และโยเกิร์ตยังทำให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน

ส่วนผสม 


- ดินสอพองสะตุ  25 - 30  เม็ดใหญ่

- โยเกิร์ต   1/4  ถ้วย

- น้ำมันมะกอก  2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำผึ้ง   2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำมะนาว  1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
  นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดใส่ส่วนผสมทุกอย่างคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วตัวทิ้งไว้ 20 - 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขนสำหรับคนผิวมันให้ลดน้ำมันมะกอกลงเหลือ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วเพิ่มน้ำมะนาวเป็น 2 ช้อนโต๊ะ 


2. สูตรพอกตัว แบบสมุนไพร


นอกจากขมิ้นที่มีประโยชน์ต่อผิวแล้วไพลยังมีสรรพคุณช่วยแก้ฟกช้ำ แก้รอยด่างดำ ทำให้ผิวสดใสขึ้น สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว

ส่วนผสม 


- ดินสอพองสะตุ  25 - 30 เม็ดใหญ่

- น้ำขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำไพล 1 ช้อนโต๊ะ 

- น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำมะนาว  1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดใส่ส่วนผสมทุกอย่างคนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วตัว ทิ้งไว้ 20 - 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขนสำหรับคนผิวมันให้ลดน้ำมันมะกอกลงเหลือ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วเพิ่มน้ำมะนาวเป็น 2 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น

การทําความสะอาดจุดซ่อนเร้นเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงอย่างเราเป็นอย่างมากทีเดียวค่ะ และวันนี้เราก็มีวิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้นมาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายกันอีกด้วยค่ะ คุณผู้หญิงเคยรู้สึกสงสัยไหมว่า การทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น นั้นสำคุณของสุขภาพอย่างไรบ้าง และ วิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น ที่ถูกต้องทำอย่างไรบ้าง สุดท้ายคือคุณจะรู้ได้อย่างได้ว่า วิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น ของคุณนั้นสะอาดเพียงพอแล้วหรือยัง ถ้าอยากรู้ว่าการทําความสะอาดจุดซ่อนเร้นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างเราก็มาดู วิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น กันได้เลยค่ะ

วิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น


การทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น


คุณหมอพันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กล่าวว่า ตามธรรมชาติของผู้หญิงวัยสาวทุกคนการทำงานของต่อมต่าง ๆ เริ่มผลิตน้ำหล่อลื่นออกมาตามฮอร์โมนเพศหญิงไม่ว่าจะเป็นประจำเดือน การตกขาวที่ผสมกับน้ำเมือกจากต่อมต่าง ๆ และเนื่องจากชีวิตประจำวันของสาวยุคใหม่ต้องมีกิจกรรมหรือทำงานนอกบ้าน จึงทำให้เกิดการอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นได้ง่าย และถ้าหากเกิดการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัสแปลกปลอม อาจทำให้เกิดอาการคันหรือระคายเคืองได้ ซึ่งเป็นที่มาของการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญ


วิธีทําความสะอาดจุดซ่อนเร้น


- การทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด เป็นหัวใจสำคัญทุกครั้งที่อาบน้ำสาว ๆ ไม่ควรละเลย ควรเป็นจุดที่ต้องทำความละอาดอย่างใส่ใจ

- กรณีคราบไคลมาก การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ๆ ใกล้เคียงกับกรดแลคติกจะช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีที่มีชื่อว่า แลคโตบาซิลไล ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี จึงสามารถลดการระคายเคืองและกลิ่นอับชื้นได้

- อาจใช้ทิชชูนุ่ม ๆ สะอาด ๆ หรือแผ่นทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น สำหรับสาวยุคใหม่ที่มีชีวิตประจำวันอันรีบเร่ง

- หลังจากทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นแล้ว ควรควรปล่อยให้แห้งหรือซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวที่สะอาด ไม่ควรสวมชั้นในขณะเปียกชื้นเพราะอาจทำให้อับชื้นและเกิดเชื้อราได้

- หากดูแลจุดซ่อนเร้นไม่ถูกวิธีอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่าลืมว่าอวัยวะทุกส่วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทั้งสิ้น ดังนั้นสุขภาพทีดีจะเป็นตัวตอบคำถามว่าจุดซอนเร้นของคุณสะอาดแค่ไหน...คุณ หมอทิ้งท้ายเอาไว้ค่ะ

กินไป อดไป น้ำหนักลดไม่ยาก

น้ำหนักกับผู้หญิงเป็นอะไรที่แบบว่าหารกันไม่ลงตัวจริงๆ ไม่รู้ว่าผู้หญิงอย่างเราๆ เยอะมากไปหรือว่าน้ำหนักเราจะเยอะเกิน เพราะแค่เวลาน้ำหนักจะขึ้นมา 1 กิโลนั้น สาวๆ ของเราก็กรี๊ดดดดดดด......... กันบ้านแทบจะพังแล้ว แต่ทำม๊ายยย...เวลากินไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้กันเลย  จากการสังเกตุเราได้บพว่าการกินนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของน้ำหนักอย่างมาก แต่คนเรานั้นจะไม่กินอะไรเลยเพื่อที่จะให้มีหุ่นสวยใช่เรื่องหรอค่ะ ไม่ใช่นะแบบนี้ แต่ถ้าเราลองหันมาเปลี่ยนแผนการกินมั่งหล่ะค่ะ





เคล็ดลับ น้ำหนักลดไม่ยาก

การไดเอ็ตแบบสลับวัน (Alternating Day Diet) ต้องทำยังไงบ้าง
มันง่ายมาก เป้าหมายสำคัญก็คือมีหนึ่งวัน ที่คุณกินน้อยลงหรือ "วันอด" (Down Day) โดยควรให้ตัวเลือกในการกินของคุณมีน้อยลง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับอาหารที่ต้องกินมีแนวโน้มที่จะโกงน้อยลง และในไม่ช้าก็จะเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างความหิวที่แท้จริง และความปรารถนาที่จะ "ตามใจปาก" หรือความอยากกินเนื่องจากอารมณ์ ส่วน "วันกิน" (Up Day) ก็แล้วแต่คุณ คุณสามารถกินในสิ่งที่คุณกินได้ตามปกติ ตราบเท่าที่ยังรักษาปริมาณแคลอรีให้ต่ำเอาไว้ในวันอด
เราสามารถกินได้กี่แคลอรีในแต่ละวัน
ไดเอ็ตนี้แบ่งเป็นสองระยะ ช่วงเริ่มต้นและช่วงประคับประคอง ช่วงเริ่มต้นกินเวลาสองสัปดาห์ โดยจะเป็นการสลับระหว่างการกินตามปกติของคุณ กับการกินเพียงแค่ 4-500 แคลอรี หรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีที่ผู้หญิงที่น้ำหนักเกินโดยทั่วไปจะกินกัน ถ้าคุณกินแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีตามปกติแบบสลับวันกัน คุณก็จะลดการบริโภคแคลอรีลงโดยเฉลี่ยวันละ 40 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าคุณจะกินเพียงแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ของที่คุณกินตามปกติ ซึ่งตัวเลขนี้ได้รับการบ่งชี้จากการศึกษาหลายชิ้นว่ามีประสิทธิภาพอย่างมาก ในการยืดอายุของสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ หลังจากสองสัปดาห์แรก คุณจะเข้าสู่ระยะของการประคับประคองน้ำหนัก ซึ่งขึ้นอยู่กับเป้าการลดน้ำหนักของคุณ ในวันอดคุณจะกินแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เท่าเดิมก็ได้ หรืออาจเพิ่มเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนจำนวนมากพบว่า มันทำตามได้ง่ายกว่า ในระยะยาว โดยยังลดน้ำหนักได้อยู่ เมื่อคุณลดน้ำหนักได้มากเท่าที่ต้องการแล้ว คุณสามารถรักษาน้ำหนักไว้ได้ด้วยการกิน 50-60 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีในวันอด หรือไม่ในวันกิน ก็อาจพยายามหลีกเลี่ยงอาหารอ้วนๆ อย่างไขมันทรานส์ไขมันแบบอิ่มตัว หรือเกลือและน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และเมื่อคุณเฉลี่ยปริมาณแคลอรีในวันกินกับวันอดแล้ว ปริมาณแคลอรีก็จะออกมาเป็นปริมาณที่ดีต่อสุขภาพ และมากพอสำหรับการลดน้ำหนัก

เราจะทำยังไงถึงจะทำตามวิธีการนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากสองสามวัน รูปแบบการกินแบบขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้จะสร้างนิสัยในจิตใต้สำนึกของคุณ ซึ่งจะกดความคิดเกี่ยวกับความหิวเอาไว้ได้ เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อในการเล่นกีฬานั่นแหละ และการที่มีวันซึ่งตามใจปากได้ คุณจะไม่รู้สึกอดอยากแบบเดียวกับ ที่มักจะเกิดขึ้นกับการไดเอ็ตแบบอื่น เพราะวันตามใจปาก คือหลักประกันว่า ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในวันนี้ คุณสามารถกินได้เสมอในวันพรุ่งนี้ และถ้าคุณยืดการกินแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีตามปกติ ในวันอด คุณต้องกินมากขึ้นถึง 180 เปอร์เซ็นต์ ในวันกิน เพื่อที่จะให้ผลออกมาเสมอกัน ซึ่งนั่นไม่ค่อยเกิดขึ้นได้
ไดเอ็ตแบบนี้ทำงานอย่างไร
วันหนึ่งอด วันหนึ่งกิน ฟังดูง่ายมาก และในทางปฏิบัติง่ายมากจริง ๆ แต่ตามคำบอกเล่าของ ดร.เจมส์ บี จอห์นสัน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Alternate-Day Diet มันมีวิทยาศาสตร์รองรับอยู่เบื้องหลังซึ่งได้รับการวิจัยมาอย่างดี นั่นก็คือเมื่อเซลล์ต้องเจอกับความเครียด เช่น ความร้อนจัดหรือความอดอยาก ถ้ามันไม่ตายก็จะเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis หรือการตายของเซลล์ แต่ในวงจรของการกินๆ อดๆ ยีนที่ชื่อ SIRT1 จะถูกกระตุ้น มันไม่เพียงแต่หยุดการทำงานของโปรตีนที่ทำให้เกิดกระบวนการ Apoptosis และยับยั้งการสะสมไขมันด้วยการปิดสวิตซ์ของยีนซึ่งทำหน้าที่สะสมไขมัน มันยังช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์ด้วย

ผลนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในการศึกษาโดย นักวิจัยที่ National Institute of Health ของสหรัฐฯ ซึ่งแบ่งหนูทดลองเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งสามารถกินเท่าที่อยากกิน และอีกกลุ่มจะได้รับอาหารวันเว้นวัน ผลก็คือ กลุ่มที่กินวันเว้นวันมีอายุยืนกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และในการศึกษาเพิ่มเติมของนักวิจัยกลุ่มเดียวกัน หนูที่อยู่ในวงจรกินวันอดวันสามารถลดน้ำหนัก ลดระดับกลูโคสและอินซูลิน และเพิ่มแรงต้านต่อความเครียดได้แบบเดียวกับคนที่ไดเอ็ตทุกวัน

ในมนุษย์ก็เป็นแบบเดียวกัน การศึกษาของ Pennington Biomedical Research Center ในลุยเซียนาพบว่า ผู้ใหญ่ 16 คนซึ่งให้สลับวันกินกับวันอดเป็นเวลาสามสัปดาห์ ทุกคนต่างลดน้ำหนักได้อย่างมากและสามารถรักษาไม่ให้กลับมาได้ด้วย

แต่การลดน้ำหนักเป็นแค่ประโยชน์อย่างเดียว จากการกระตุ้น SIRT1 นอกเหนือจากการลดคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มพลังงาน และมีโอกาสในการทำให้อายุยืนขึ้น ยีน SIRT1 ยังแสดงให้เห็นว่าสามารถต่อสู้โรคที่เกิดจากอาการอักเสบเรื้อรัง เช่น หอบหืด ได้ด้วย
กลยุทธ์สำหรับช่วงเริ่มต้นในวันที่ต้องอด
1. ในวันที่ต้องอดระหว่างสองสัปดาห์แรกของการเริ่มต้น ดื่มโปรตีนเชคหรือเครื่องดื่มแทนอาหาร ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ที่จะได้รับ 500 แคลอรีจากการกินผัก ผลไม้ และโปรตีนเท่านั้น แต่เครื่องดื่มจะมีประโยชน์มากกว่า มันมีการชั่วตวงมา แล้วจึงสามารถกำหนดได้แน่นอนว่าจะได้รับแคลอรีเท่าไหร่ และมันยังเสริมวิตามินและแร่ธาตุไว้ด้วย พกพาสะดวก และสามารถจิบได้เรื่อยๆ เวลาหิว
2. เมื่อคุณคิดว่าต้องกิน รอสักสองสามนาทีก่อนจะหยิบอาหารมาใส่ปาก ความหิวจะเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ ทุกสองถึงสามชั่วโมงและโดยปกติจะกินเวลาราว 15-20 นาที

3. มน้ำซึ่งปราศจากแคลอรีเยอะ ๆ ชาเขียว ชาดำ หรือกาแฟก็ได้ แต่ระวังด้วยว่ากาแฟสองสามถ้วย อาจช่วยลดความหิวด้วยการเพิ่มน้ำตาลในเลือดได้ชั่วคราว แต่กาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้นอนไม่หลับ

4. การกินตามอารมณ์มักมีมากที่สุดตอนกลางคืน ฉะนั้น พยายามติดต่อกับเพื่อนๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยนักจิตวิทยาชาวแคนาดา ดร.เจน บลูอิน บอกว่างานวิจัยของเธอแสดงว่า คนเรามันมีแนวโน้มที่จะกินจุบกินจิบระหว่างสองทุ่มถึงสี่ทุ่ม เพราะเป็นช่วงเวลาที่คนเรารู้สึกเปราะบางที่สุด ผู้หญิงยังรู้สึกเหนื่อยอ่อนในตอนนั้น ฉะนั้น เมื่อเหนื่อยเธอก็จะอยากนอนหรือไม่ก็กินเพื่อเพิ่มพลังงาน
กลยุทธ์ของช่วงรักษาน้ำหนัก
1. จดไดอารี่อาหาร ระยะนี้เป็นช่วงที่จะกินมากขึ้น ในวันอด แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงว่าคุณจะเริ่มหาเหตุผลและหลอกตัวเองว่า คุณกินเข้าไปจริงๆ เท่าไหร่ ถ้าน้ำหนักเริ่มไม่ลดมันอาจ เพราะคุณกินแคลอรีมากไปในช่วงวันอดโดยไม่รู้ตัว การจดสิ่งที่กินเข้าไปจะช่วยได้

2. อย่าทำเกินเลยไป ถึงแม้คุณจะอยากควบคุมแคลอรีในวันกินเพื่อลดน้ำหนักให้ได้มากขึ้น แต่มันอาจนำไปสู่การลดลงของระบบเผาผลาญในระยะยาวก็ได้ ในอีกทางหนึ่งก็อย่ากินแบบยัดทะนานจนเกินไปในวันกิน ความสมดุลคือหัวใจสำคัญ

3. ในวันที่อด กินผักที่ไม่ใช่แป้งเยอะ ๆ เช่น แอสพารากัส ถั่ว กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ เห็ด มะเขือม่วง ผักโขม และพริก รวมทั้งโปรตีนไร้ไขมัน เช่น เต้าหู้ เนื้ออกไก่ ไข่ขาว ปลา และไก่งวง ในวันอด ควรมีปริมาณที่พอทนได้ อย่างเช่น ถ้าปกติคุณกิน 2,000 แคลอรี วันอดก็ควรกินประมาณ 400 แคลอรี หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนปกติ แต่ถ้าคุณเห็นว่าเข้มงวดเกินไป ก็อาจเพิ่มเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ หรือ 700 แคลอรี หรืออาจเป็นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1,000 แคลอรีก็ได้ แต่จำไว้ว่าการกินยิ่งน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นในการกระตุ้นยีน SIRT1
4. ถ้าคุณห่วงว่าการนับแคลอรีอาจไม่ถูกต้อง ก็ลองแทนที่มื้ออาหารสักหนึ่งมื้อด้วยโปรตีนเชค

วันอาทิตย์, เมษายน 21, 2556

สูตรลดการน้ำหนัก แบบที่หลายๆ คนตามหา

การลดน้ำหนักสำหรับผู้หญิงแล้วนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบากแบบสุดๆ แต่ถ้าอยากมีหุ่นสวย หุ่นแป๊ะ เป็นสาวเพอร์เฟคแล้วหล่ะก็ ลำบากเพียงไหนก็ยอมทน แล้วเรื่องที่จำเป็นที่สุดก็คือการอดอาหาร ที่สาวๆ มักจะคิดกันว่า อาหารนี่แหละที่ทำให้ฉันอืดแบบนี้ เอ้า แล้วถ้าไม่ทานอะไรจะอยู้ได้ไหมหล่ะค่ะเนี๊ย เป็นความคิดที่ผิดๆ อย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว จะบอกว่าการกินอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของร่างกายแล้วก็ชีวิต ถ้าจะให้มาอดอาหาร ซูมผอม ดูโทรมๆ เพราะอยากมีหุ่นสวย ไม่ได้วันนี้เราเลยนำเคล็ดลับเพื่อหุ่นสวยเป๊ะ มาฝาก !!


1.กินอาหารสีน้ำตาลให้มากขึ้น 
   ทั้งข้าวไม่ขัดสี ธัญพืช น้ำตาลไม่ฟอกขาว ขนมปังโฮลวีต เป็นการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ให้ร่างกายได้ดีพร้อมพลังงาน

2.สำหรับนักปาร์ตี้
   ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง แต่ถ้าปกติคุณเป็นคนดื่มจัด ลองดื่มน้ำเปล่าสลับการดื่มเหล้าในทุกๆ แก้วที่คุณดื่ม จะช่วยลดปริมาณแอลกอฮอล์และขับสารพิษได้ดีขึ้น (ทางที่ดีไม่ดื่มได้เลยน่าจะดีกว่า)

3.ลดอาหารที่ปรุงจากน้ำมัน
   อย่างการทอด กินมันได้บ้างแต่ไม่ใช่ทุกมื้ออาหาร ร่างกายคุณไม่ได้ต้องการไขมันมากมายขนาดนั้น คนเราไม่ใช่หมีขั้วโลกนะจ๊ะที่ต้องสะสมไขมันเพื่อความอบอุ่น

4.หมั่นขยับร่างกายให้บ่อยขึ้น
   อย่านอนจมอยู่บนโซฟาหน้าทีวีพร้อมขนมกรุบกรอบตลอดเสาร์อาทิตย์ ลองหยิบเช็ดทำความสะอาดบ้านไปพร้อมๆ กับการดูรายการทีวีช่องโปรดก็ได้นี่นา หรือจะออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เลยก็ยิ่งดี

5.ลดน้ำหวานระหว่างวัน
ไม่ว่าจะเป็นโกโก้เย็นรถเข็นหน้าออฟฟิศ หรือร้านน้ำชาที่นัดพบเพื่อนๆ หลังเลิกงาน ไม่ได้บอกให้คุณตัดขาด แต่ลดจำนวนแก้วของน้ำหวานลง รับรองว่าช่วยลดน้ำหนักได้เยอะแบบไม่รู้ตัว

การล้างพิษในลำไส้ใหญ่ (detox) เองที่บ้าน

การล้างพิษในลำไส้ใหญ่

พลังงานไหลเวียนของลำไส้ใหญ่อยู่ในช่วงเวลาตี 5 ถึง 7 โมงเช้า ถ้าเราสามารถขับถ่ายอุจจาระในช่วงเวลานี้ได้จะดีมาก แต่ถ้าลำไส้ใหญ่ของเราขับถ่ายไม่ได้ตามเวลา หรือขับถ่ายไม่หมดลำไส้ จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ   อาการทางจิต จิตใจไม่ยึดแน่น, ไม่กล้าตัดสินใจ , ชอบข่มขู่ผู้อื่น , ไม่ค่อยพอใจอะไรง่ายๆ , ผิดหวังบ่อย , ไม่ชอบพึ่งตนเอง , ก้าวร้าว , สะเพร่า , อาฆาต
อาการทางกาย คัดจมูก , ปวดหน้าผาก , ขี้หูมาก , กินจุ ,นอนไม่หลับ , กรน , จะไม่ค่อยสบายเมื่ออุณหภูมิภายนอกเปลี่ยนแปลง , ผิวเหลือง , ตัวซีด , ปวดท้อง , จุกเสียด , ท้องผูกหรือท้องถ่าย , ปวดฟัน , เจ็บคอ , เลือดกำเดาออก , ตาเหลือง , ก้นเหลว , ริมฝีปากล่างบวม

การใช้อาหารล้างพิษในลำไส้ใหญ่ จะขอเสนอแนะออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนมและกลุ่มผัก ซึ่งในแต่ละคนจะถูกโฉลกไม่เหมือนกัน คือบางคนก็ถูกกับกลุ่มนม บางคนจะถูกกับกลุ่มผัก ซึ่งท่านผู้อ่านก็ต้องไปทดลองว่าเราจะถูกกับอะไร


สูตรล้างพิษในลำไส้ใหญ่ กลุ่มนม


1. ใช้นมสด 2 กล่อง และกล้วยน้ำว้า 2 ลูก ลองกินดูนะคะ กินกล้วยคำดื่มนมตามหนึ่งอึก ทำนองนี้สลับกันไป ส่วนท่านที่สงสัยว่าควรใช้นมกล่องขนาดไหน อันนี้ท่านก็ต้องกะประมาณการเอาเอง แต่อย่างว่าแหละ ถ้าท่านมีปัญหาที่ลำไส้ใหญ่ ท่านก็ไม่ชอบตัดสินใจเองอยู่แล้ว เอาอย่างนี้ท่านก็ลองใช้กล่องเล็กดูก่อน ถ้ายังไม่ระบายค่อยเพิ่มเป็นกล่องใหญ่ หรือเพิ่มหลาย ๆ กล่องก็ได้ จนกว่าการขับถ่ายจะดี

2. ใช้นมสด 2 กล่อง เติมโยเกิร์ต 1 ถ้วย (รสอะไรก็ได้) ขนาดถ้วยใหญ่หน่อยก็จะดี เติมน้ำผึ้งสัก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผลไม้ เช่น น้ำส้ม , น้ำมะนาว กะขนาดตามชอบ ถ้าท่านเป็นโรคเบาหวานแล้วกังวลเรื่องน้ำผึ้งก็ขอให้เติมผงอบเชย หรือซินนามอน (Cinnamon) ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ

3. ใช้นมข้นหวาน 6 ช้อนโต๊ะ ผสมกันโซดาสัก 1 แก้วใหญ่ชงให้เข้ากันแล้วดื่ม

หมายเหตุ ทุกสูตรควรกินตอนเช้าก่อนอาหารได้จะเป็นการดีนะคะ


สูตรล้างพิษในลำไส้ใหญ่ กลุ่มผัก


อย่างที่เรียนให้ทราบเบื้องต้นแล้วว่า บางคนไม่ถูกกับนม กินนมแล้วไม่ถ่าย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ลองหาผักเหล่านี้มารับประทานดู เช่น ผักบุ้ง, ผักคาวตอง , ผักปลัง ,ผักเชียงดา ,ผักอื่นๆ เช่น ตำลึง , กระเจี๊ยบเขียว ผักเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการระบายถ่ายท้องได้ดี อย่างไรก็ตามบางคนอาจตกใจเมื่อเกิดการระบายขนาดใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้ให้เตรียมใบกระเพราสักหนึ่งกำมือ จะเป็นใบสดหรือตากแห้งก็ได้ เอามาต้มน้ำดื่ม จะทำให้หยุดถ่ายท้องได้ทันใจ ไม่อ่อนเพลีย

วันเสาร์, เมษายน 20, 2556

5 อาหารช่วยลดน้ำหนักได้อย่างใจ!!!

จริง ๆ แล้วการลดน้ำหนักหรือการควบคุมปริมาณอาหารนั้น สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานแล้ว อาหารที่เลือกนั้น ก็มีส่วนสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะอาหารบางประเภทอาจช่วยลดปริมาณแคลอรี่ได้ แต่ไม่ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายเท่าใดนัก แทนที่จะหุ่นสวยมีสุขภาพดี แต่กลับกลายเป็นโรคขาดสารอาหารไปซะนี่ ลองมาดูอาหารที่จะช่วยให้คุณมีหุ่นสวย และลดน้ำหนักได้ดั่งใจกันค่ะ 



1.เกรปฟรุต
นักวิจัยพบว่าการกินเครปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหาร สามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้จริง และยังมีประโยชน์อื่นแถมมาด้วยนั้นคือ เกรปฟรุตมีสารต้านมะเร็งอย่างไลมินอยด์และไลโคปีน นอกจากนี้ เกรปฟรุตเพียงครึ่งลูกให้พลังงานเพียงแค่ 39 แคลอรี่เท่านั้น




2.ปลาซาร์ดีนส์
เป็นอาหารอุดมด้วยโปรตีนที่ช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ทำให้เรารู้สึกอิ่มและช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรงด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นอาหารที่เหมาะอย่างยิ่งของคนที่ต้องการจะควบคุมน้ำหนักนั้นเอง


3.ฟักทอง
เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูงและให้พลังงานต่ำ การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ ให้ประโยชน์กับสุขภาพมากมาย รวมถึงการดูแลน้ำหนัก แถมยังนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนูอีกด้วย


4.เนื้อสัตว์ 
อาหารโปรตีนสูงจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย และเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงอยู่แล้ว จึงทำให้อิ่มนานกว่า และช่วยลดความอยากกินมากเกินไป 

5. ชาเขียว
ไม่ใช่อาหารโดยตรง แต่ให้ประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่คิด เพราะช่วยย่อยและจัดการกับน้ำตาลในเลือด เพิ่มอัตราการเผาผลาญและเร่งการเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้สารอาหารที่อยู่ในชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจ สารแทนนินที่อยู่ในชาเขียวยังช่วยคลายเครียดเราได้ดีอีกด้วย 

อาหารเหล่านี้ นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังคงคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์อีกมากมาย ทำให้เรามีหุ่นสวยได้อย่างใจและยังมีสุขภาพที่ดีไปพร้อม ๆ กันด้วยด้วยค่ะ 

น้ำผึ้ง ความหวานรักษาโรค

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 20 น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟรุกโตส และลีวูโลส ประมาณร้อยละ 79 โดยมีปริมาณน้ำตาล ‘ฟรุกโตส' มากกว่าน้ำตาล ‘กลูโคส' เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้ง ไม่ตกผลึก กรดชนิดต่างๆ ประมาณร้อยละ 0.5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมากคือกรดกลูโคนิก วิตามิน เอนไซม์ และแร่ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส ประมาณร้อยละ 0.5 โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน น้ำผึ้ง 100 กรัมจะให้พลังงาน 303 แคลอรี


ใครที่นอนไม่ค่อยหลับ   

   ลองผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้หลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิสัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางความเครียดลงบ้าง จะยิ่งทำให้นอนหลับสนิทต่อเนื่องตลอดคืน และตื่นมาอย่างสดใส 

ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยน อดหลับอดนอนจนหน้าแห้งกร้าน หรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ 

   ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดให้แห้ง แล้วนำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดผสมกับน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน ทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก เอนไซม์ในน้ำผึ้งจะคืนความชุ่มชื่นนุ่มนวลให้ผิวอย่างรวดเร็ว

ข้นครึ่งถ้วย เกลือเล็กน้อย ดื่มวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ใช้น้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน

และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดีและป้องกันโรคมะเร็ง หรือหลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 5 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีใดๆ


โดยน้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือสามารถ ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูงและมีปริมาณโปรตีนต่ำ ทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น

นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจน- เพอร์ออกไซด์และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมี คุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งด้วย ดังนั้นเมื่อใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ โดยปัจจุบันมีการพิสูจน์และใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในวงการแพทย์อเมริกาและยุโรป รวมทั้งเป็นหนึ่งในกระสายยาสำคัญในหลายประเทศของเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย


วันศุกร์, เมษายน 19, 2556

วิธีแก้ขอบตาคล้ำ ให้หายไป

ขอบตาคล้ำ นั้นคงจะเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงหลายคน สูญเสียความมั่นใจได้ในทันทีเมื่อเห็นรอยคล้ำที่ใต้ขอบตา แต่เรื่องนี้จะไม่ใช้ปัญหาอีกต่อไปเพราะวันนี้เรามีวิธีแก้ขอบตาคล้ำแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ ขอบตาคล้ำ ใต้ดวงตาของคุณให้กลับมาดูสดใสอีกครั้งค่ะ
วิธีแก้ขอบตาคล้ำ

คุณควรเลือกคอนซีลเลอร์เฉดสีที่อ่อนกว่าสีรองพื้นตามปกติของคุณและควรใช้แต่น้อย ส่วน วิธีแก้ขอบตาคล้ำนั้น คุณก็ควรใช้ครีมทาตาที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่ คอลลาเจน อีลาสติน และวิตามินอี ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่นั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวในวัยผู้ใหญ่ที่ผลัดเซลล์ผิวช้า เพราะจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ส่งผลให้สารบำรุงในครีมแทรกซึมเข้าไปในผิวได้มากขึ้น และถ้าคุณมีถุงใต้ตาร่วมด้วยก็ควรใช้ถุงประคบเย็นวางไว้บนดวงตาเพื่อช่วยลดอาการบวมและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีรอยคล้ำ


แต่ถ้าขอบตาคล้ำของคุณเป็นแบบเรื้อรังไม่ยอมหายหรือทำท่าว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น คุณก็อาจต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นจริงเป็นจังกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขัดลอกผิวด้วยสารเคมีหรือการทำทรีทเมนต์ด้วยแสงเลเซอร์ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นผลที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่ต้องอยูภายใต้การดูแลและการตัดสินใจของแพทย์เท่านั้น

สูตร กำจัดสิวเสี้ยน แบบธรรมชาติ

วันนี้เรามีสูตรกำจัดสิวเสี้ยนแบบธรรมชาติ ๆ ซึ่งจะช่วย กำจัดสิวเสี้ยน ได้ทั้งใบหน้าเลยค่ะ เอาล่ะคะคุณผู้หญิงกำลังมีปัญหาเรื่องการกำจัดสิวเสี้ยนไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม สูตรกำจัดสิวเสี้ยน นี้ช่วยคุณได้นะค่ะ สำหรับวัตถุดิบในการกำจัดสิวเสี้ยนนั้นก็จะมี มะเขือเทศ สตอเบอรี่ น้ำมะนาว และน้ำผึ้งเท่านั้นเองค่ะ เชื่อว่า สูตรกำจัดสิวเสี้ยน คงไมยากที่หาวัตถุดิบมาลองพอกหน้ากันใช่ไหมล่ะค่ะ นอกจากจะหาซื้อได้ง่ายแล้วยังดีต่อใบหน้าของเรามาก ๆ เลย นั้นเรามาเริ่ม กำจัดสิวเสี้ยน กันเลยดีกว่าค่ะ

สูตร กำจัดสิวเสี้ยน แบบธรรมชาติ

สูตร กำจัดสิวเสี้ยน

มะเขือเทศ 1 ลูก สตอเบอรี่ 5 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ 
ผสมเข้ากันทาหน้า เว้นรอบดวงตา นวดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน 10 – 15 นาที เช็ดออก ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

ทราบหรือไม่! รองเท้าส้นสูงใส่แดนซ์ไม่ได้

ไม่ว่าจะไปเที่ยว ไปทำงาน ไปนู้น นี่ นั่น ตามสถานที่ต่างๆ รองเท้าส้นสูงนั้นก็มักจะเป็นสิ่งที่สำคัญหรือกลายเป็นเพื่อนคู่หูของคุณผู้หญิงไปเลยก็ว่าได้ เพราะเนื่องจากว่าผู้หญิงเรานั้นจะรู้สึกสวย สง่า และรู้สึกดูดีมากๆ เวลาที่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงไปในสถานที่ต่างๆ แต่ถึงแม้ว่ารองเท้าส้นสูงจะเป็นเพื่อนซี้ของสาวๆ แต่ในบางขณะที่สาวๆ ต้องออกสเต็บแดนซ์โยกซ้ายย้ายขวานั้นขอแนะนำว่าช่วงเวลานั้นรองเท้าส้นสูงจะไม่ใช่เพื่อนซี้ของคุณอีกแล้วค่ะ ทราบหรือไม่! รองเท้าส้นสูงใส่แดนซ์ไม่ได้ นะจ๊ะ อะๆ สาวๆ หลายคนอาจจะ งง แล้วก็อาจจะมีอารมณ์เซงๆ อยู่ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงใส่รองเท่าส้นสูงแดนซ์ไม่ได้ กลัวล้มหรอ หรือว่ากลัวจะขาพลิก ถ้าเกิดเรื่องแค่นี้มันไม่ใช่ประเด็นเลยสักนิดค่ะ แต่ที่มาบอกว่า รองเท้าส้นสูงใส่แดนซ์ไม่ได้นะจ๊ะ ก็เพราะว่าถ้าใส่เนี๊ยจะเป็นอันตรายกับนิ้วน้อยๆ ของคุณ...


จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Experimental and Computational Biochemical เปิดเผยว่า การเต้นรำขณะที่ใส่รองเท้าส้นสูง (ไม่ว่าจะสูงเท่าไหร่ก็ตาม) ทำให้นิ้วเท้ารับแรงกดอย่างมาก หากส้นสูงเกิน 4 นิ้ว แรงกดจะเพิ่มเป็นสามเท่า ทั้งนี้ นักวิจัยจาก Liverpool John Moores University จากอังกฤษ และ Human Movement Research ในประเทศจีนชี้ว่า การได้รับแรงกดมาก ๆ อาจทำให้เอ็นฝ่าเท้าอักเสบได้ ในทางตรงกันข้าม การเต้นรำเท้าเปล่าจะกระจายน้ำหนักจากส้นไปยังนิ้วเท้าต่างๆ เท่ากัน แต่การเต้นรำเท้าเปล่าอาจจะไม่เหมาะกับสถานที่ ดังนั้น ลองเลือกรองเท้าที่ส้นไม่สูงมากจะปลอดภัยกับเท้ามากกว่า

ลดพุง ลดอ้วน...ลดพุง ลดโรค


ลดพุง ลดอ้วน...ลดพุง ลดโรค ทำไมต้องรณรงค์เรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ซึ่งนับเป็นปีที่ 5 แล้ว เพราะ "อ้วน" เป็นปัจจัยก่อโรค ซึ่งในประเทศไทยพบว่า ในจำนวนประชากรกว่า 60 ล้านคน มีถึง 17 ล้านคนที่เป็น "โรคอ้วน" และตายปีละกว่า 20,000 คน
เวลาพูดถึงความอ้วน หลายคนมักไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเน้นที่ "พุง" และไม่เข้าใจว่าแบบไหนที่เรียกว่า "อ้วน" ซึ่งในทางการแพทย์ "อ้วน" หมายถึง ภาวะไขมันในร่างกายเกินกว่าเกณฑ์ปกติ และเป็นอันตรายเพราะจะทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ ทั้งนี้ ไขมันในร่างกายมี 3 รูปแบบ คือ 
1.ไขมันใต้ผิวหนัง หากมีจะทำให้อ้วนแต่ไม่ถึงกับเป็นอันตราย 
2.ไขมันอุดตันในหลอดเลือด หากมีจะทำให้หลอดเลือดตีบ อุดตัน เลือดไม่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต 
3.ไขมันเกาะช่องท้องและตับ ซึ่งอันตรายมาก เพราะเป็นกรดไขมันอิสระที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน (อินซูลินมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะของโรคนี้จะมีสารพัดโรค เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง ฯลฯ ตามมาทันที ซึ่งปัจจุบันอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรังเหล่านี้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเข้าข่ายอ้วน?
ในวงการแพทย์สมัยใหม่แนะนำให้ใช้วิธีวัดง่ายๆ คือ เอาส่วนสูง หารสอง จะได้ผลลัพธ์ออกมา หากใครอยากรู้ควรมีสายวัดไว้ประจำบ้าน ทำเองได้ด้วยการ ยืนตัวตรงแล้วนำสายวัดพันรอบเอวบริเวณสะดือให้ขนานกับพื้นแล้วอ่านค่า หากใครก็ตาม... ถ้าเป็นผู้ชายรอบเอวเกิน 90 ซม. ผู้หญิงรอบเอวเกิน 80 ซม. ถือว่ากำลังอ้วนลงพุง วิธีการแบบนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พร้อมกับชั่งน้ำหนักตัวด้วย
เมื่อรู้ตัวว่าอ้วน ควรทำอย่างไร ไม่ยากครับ! ทำตามหลักการที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พยายามรณรงค์มาแล้ว 4 ปี ด้วยวิธี 3 อ. ได้แก่ อารมณ์ อาหาร และออกกำลังกาย
เชื่อหรือไม่? หากเราเข้มงวดกับ 3 อ. จะพบว่า...เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ธรรมชาติมาก ทำง่ายมาก ประหยัดมาก และให้ผลในระยะยาว โดย
1.อารมณ์ ต้องสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้การลดน้ำหนักสำเร็จ เช่น ลดเพราะกลัวตายก่อนพ่อแม่หรือลูก ลดเพราะอยากใส่เสื้อเบอร์ S เป็นต้น และกำหนดเป้าหมายว่า ภายใน 1 เดือน ลด 1-2 กก. และต้องทำให้ได้ด้วยความอดทน อดกลั้น ด้วย 3 ส. คือ สกัด สะกด สะกิด เช่น ข่มใจเรื่องการกินอาหาร ลดแป้ง กินผักผลไม้ อิ่มแล้วต้องหยุด บังคับตัวเองไปออกกำลังกาย
2.อาหาร ควบคุมอาหาร แต่ไม่อดอาหาร กินครบ 3 มื้อ ครบ 5 หมู่ แต่ต้องควบคุมปริมาณ และชนิดของอาหารที่กิน เช่น ลดแป้ง ลดหวาน มัน เค็มจัด เพิ่มผักผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน เน้นอาหารต้ม ย่าง ยำ อบ นึ่ง เลี่ยงผัด ทอด กะทิ หรือหากกินก็อย่าบ่อยและกินน้อยๆ วิธีกินอาหาร 1 มื้อ หากเป็นข้าว 1 จาน ควรกินข้าวกล้อง และแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน และใช้ทฤษฎี 2-1-1 ได้แก่ ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน
3.ออกกำลังกาย หากควบคุมอาหารอย่างเดียว แต่ไม่ออกกำลังกาย จะลดน้ำหนักได้ 9% หากออกกำลังกาย แต่ไม่ควบคุมอาหาร จะลดน้ำหนักได้ 1% แต่หากออกกำลังกายพร้อมกับควบคุมอาหาร จะลดน้ำหนักได้ 90% เพราะการออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าไปเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ใครที่ต้องการลดน้ำหนักควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แต่หากต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็พอ วิธีออกกำลังกายที่ดีที่สุดของคนอ้วน คือ การเดินเร็วจะเดินรอบบ้านหรือสนามกีฬาตามสะดวก หรือจะเดินในน้ำก็ได้
รู้หรือยัง...อ้วนอันตราย ลดได้ง่ายๆ ด้วย 3 อ. แถมสวยหล่อ ดูอ่อนกว่าวัย ไม่เป็นโรค

วันอังคาร, เมษายน 16, 2556

เคล็ดลับการ "ลบเลือนผิวแตกลาย"

ริ้วรอยและผิวแตกลาย มักเป็นปัญหาใหญ่กวนใจหลายคน โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักสวยรักงาม แต่ต่อจากนี้ไป สาวๆ ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาดังกล่าวอีกแล้ว เพราะเรานำเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยลดริ้วรอย และผิวแตกลายมาบอกกันค่ะ...ต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกัน


ริ้วรอย และผิวแตกลาย
อาจเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลาย

วิธีทำง่ายๆคือ ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ ซึ่งล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า - เย็น ผิวที่แตกลาย หรือริ้วรอยต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลง

หากไม่มีว่านหางจระเข้ เราก็สามารถใช้ใบบัวบกแทน โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า- เย็น ผิวที่แตกลายจะค่อยๆ จางลงได้เช่นกัน


คราวนี้สาวๆ ก็สามารถอวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล...สาว ๆ คนไหน มีปัญหาดังกล่าวก็อย่าลืมนำเทคนิคที่เราแนะนำไปใช้นะคะ

8 เคล็ดลับเพื่อดวงตาคู่สวย

เราชอบอวัยวะส่วนไหนที่สุด คงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าดวงตา นอกจากจะดูสวยและยังเป็นอวัยวะที่สำคัญบนร่างกายของเราอีกด้วย แล้วเชื่อว่าหลายๆ คนก็ย่อมที่จะอยากทำให้ดวงตาของเรานั้นสวยที่สุด วันนี้เราเลยนำเคล็คลับต่างๆ มาฝาก..

1. มันฝรั่ง
หามันฝรั่งหัวขนาดเหมาะมือ จัดการล้างให้สะอาดก่อนหั่นบางๆ แช่เย็นแล้วเอามาปิดตาไว้ 15-20 นาที เช้าและเย็น จะช่วยลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้ หลังเอามันฝรั่งออก ล้างหน้าให้เรียบร้อยแล้วอย่าลืมทาครีมบำรุงใต้ตาด้วยนะจ๊ะ

2. น้ำแข็ง
ใช้น้ำแข็งบดสักเล็กน้อยห่อด้วยผ้า วางบนเปลือกตาประมาณ 10 นาที ช่วยให้ขอบตาหายร้อนผ่าว ชุ่มชื่น ดูดี และหายคล้ำค่ะ

3. น้ำนม
นมสดที่เราใช้ดื่มนี่แหละค่ะสักครึ่งแก้วเอาไปแช่เย็น แล้วใช้ก้อนสำลีหรือแผ่นสำลีชุบนมเย็นๆ วางบนเปลือกตา 10 นาที แล้วเอาออกพัก 2 นาที แล้วทำซ้ำใหม่ประมาณ 5 ครั้ง จะทำให้สบายตา ยิ่งตาที่ระคายเคืองหรือบวมจากการร้องไห้ วิธีนี้ช่วยได้แน่นอน

4. แตงกวาปั่น
นอกจากแตงกวาหั่นบางๆ แช่เย็นที่รู้กันทั่วไป แตงกวายังเอามาปั่นแช่ให้เย็นเจี๊ยบ ก่อนใช้สำลีชุบน้ำแตงกวาให้ชุ่มมาปิดตาไว้ 15-20 นาที วิธีนี้ช่วยลดริ้วรอยและเจ้าอาการตาบวมได้ด้วยเหมือนกัน

5. มะเขือเทศ
แก้เหตุตาบวมได้ดีนักแล เพียงเดินเข้าครัวควานหามะเขือเทศมาหั่นขวางแล้วปิดไว้ที่บริเวณดวงตาประมาณ 10 นาทีตาจะหายบวมเป็นปลิดทิ้ง

6. ออกกำลังกาย
เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ สัก 10 นาที พอได้เหงื่อ รูขุมขนก็จะเปิดและขับของเสียออกจากเซลล์ ช่วยลดอาการตาบวมจ้า

7. ผ้าขนหนูจุ่มน้ำชา
เป็นอีกทางเลือกนอกจากใช้ถุงชาวางไว้บนตาเพื่อลดอาการตาบวม ลองใช้น้ำชาอุ่นๆ แล้วนำผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มน้ำชา วางประคบดวงตาทั้งสองข้างประมาณ 10-15 นาที ก็ช่วยได้ไม่แพ้ถุงชาค่ะ

8. หมอน
หนุนหมอนขนาดพอเหมาะที่สามารถยกให้ศีรษะสูงขึ้นเหนือระดับของหัวใจเล็กน้อย และนอนหงายเพื่อช่วยป้องกันของเหลวที่ไหลมารวมกันอยู่บริเวณดวงตา นอกจากลดตาบวมแล้ว วิธีนี้ยังช่วยขับน้ำเหลือง และยังมีผลต่อการขจัดของเหลวออกจากร่างกาย ทำให้ไม่เกิดการสะสมไว้ใต้ผิวหนังอีกด้วย

วันจันทร์, เมษายน 15, 2556

5 พฤติกรรมทำร้ายความสวย


"พฤติกรรมทำร้ายความสวย" ที่คุณสาวไม่รู้ตัวถ้าพูดถึงการมีผิวสวยสาวๆ พอจะนึกออกบ้างไหมค่ะว่ามีวิธีอะไรบ้าง เยอะเลยใช่ไหมหล่ะค่ะ แน่นอนค่ะว่าวิธีการทำให้เรามีผิวสวยนั้นชั่งมีมากมายหลากลายวิธี แต่เนื่องจากว่าในบางขณะถ้าเกิดถามว่าอะไรที่เป็นตัวทำร้ายผิวสวยแล้ว สาวๆ จะยังนึกออกอยู่หรือไม่ แต่ถ้าสังเกตุดีๆพฤติกรรมทำร้ายความสวย มักจะมาจากเรื่องที่ใกล้ๆ ตัว หรือไม่ก็มาจากพฤติกรรมต่างๆ ที่สาวๆ ยังคงนึกไม่ถึงนั้นเอง ..


1. บีบสิว
จะทำให้เกิดแผลได้ง่าย และเป็นการทำร้ายผิวอย่างรุนแรง ต้องใช้เวลาในการรักษา อีกทั้งเสี่ยงต่อการอักเสบ ควรรอให้สิวยุบเอง หรือหายามาแต้มจะดีกว่าค่ะ

2. ขยี้ตา
ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ง่าย เพราะผิวบริเวณดังกล่าวเป็นผิวที่บอบบางที่สุด การขยี้ตาจะเป็นการทำลายความยืดหยุ่นของผิวเร็วกว่าปกติ

3. เกาแรงๆ
การเกาสามารถทำลายผิวสวยๆ และเสี่ยงกับการเป็นแผลเป็น รอยด่างดำ และรอยเส้นเลือดฝอยแตก ดังนั้นเวลาคันเราควรที่จะทายาแก้คัน หรืออาบน้ำเย็น

4. กัดเล็บ
นอกจากจะเสียบุคลิกแล้วยังทำให้เชื้อโรคในเล็บเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย แล้วก็เชื้อโรคในน้ำลายก็ไปสะสมในเล็บ

5. เลียปาก
การเลียปากจะทำให้ปากแห้ง แตกเป็นขุย และเมื่อน้ำลายแห้งที่ริมฝีปากจะดูดกลืนแสงแดดได้มากกว่าปกติอีกด้วย ทำให้คนที่ชอบเลียปากมีริมฝีปากที่คล้ำดำค่ะ